วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

#CIA Coach Word : #ข้อคิดโค้ช : "ข้อคิดจากการสูญเสียป๊า"





#CIA Coach Word : #ข้อคิดโค้ช : "ข้อคิดจากการสูญเสียป๊า"


#ได้เขียนถึงป๊าทำให้ได้ระลึกถึงบุญคุณของป๊า...
#โดยเขียนถึงป๊าในวันครบรอบวันเสียของป๊าทุกปี
#ปีนี้เป็นปีที่6แล้ว...#ขอยกงานเขียนที่เคยเขียนไว้ในการเข้าร่วมโครงการหานักเขียนร่วม25ท่านเมื่อ2ปีก่อน  โดยให้นำเสนอบทความเพื่อพิจารณาในงานเขียนคอนเซปต์..."#คุณเหนื่อยไหมเวลาเจอเรื่องแย่ #แล้วคุณแก้มันยังไง?

#บทความนี้เป็นบทความที่ผมนำเสนอทีม บ.ก. เพื่อพิจารณาครับ

        เหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต คงเป็นเหตุการณ์เดียวที่ผมเสียใจมากที่สุดในชีวิต เพราะเป็นความสูญเสียของพวกเราทุกคนในครอบครัว และเป็นการสูญเสียคนที่ผมรักที่สุดในชีวิตไป นั่นก็คือการสูญเสีย “พ่อ” ซึ่งผมเรียกว่า “ป๊า” ไปอย่างไม่มีวันกลับ และไม่มีโอกาสได้ร่ำลา ด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน
     
        ผมยังจำภาพเหตุการณ์วันนั้นได้ดี  เป็นวันที่ผมและพวกเราทุกคนในครอบครัวไม่เคยลืม และไม่อาจจะลบเลือนไปจากความทรงจำได้  วันนั้นเป็นวันที่ 18 กรกฎาคม 2556  คือเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน   ผมได้รับโทรศัพท์จากแม่  ซึ่งผมเรียกว่า “อี๊”  (มีหลายคนถามทำไมเรียกอี๊ ที่ภาษาจีนแปลว่า “พี่สาว” หรือ “น้องสาว” ของแม่ ทำไมไม่เรียก “หม่าม้า”  ซึ่งภาษาจีนแปลว่า “แม่” แบบคนอื่นๆ เค้า  อันนี้มีเรื่องเล่าครับ ความว่า ตอนเด็กๆ พี่สาวผมเป็นคนร้องไห้หนักมาก และติดแม่มากๆ จะให้อุ้มตลอด จนวันหนึ่งแม่ไปปรึกษาหมอดู หมอดูก็แนะนำว่า ให้พี่สาวลองเรียกแม่ว่า “อี๊” ซึ่งแปลว่า “พี่สาว” หรือ “น้องสาว” ของแม่ดู จะได้ห่างออกมาหน่อย เป็นการแก้เคล็ดมั้งครับ  ปรากฎว่าได้ผลครับ หลังจากนั้น พี่สาวผมก็ไม่ร้องไห้หนัก และไม่ติดแม่เหมือนแต่ก่อน ซึ่งแน่นอนหล่ะครับ ผมก็ยังเล็กอยู่ ก็ต้องเรียกตามๆ กันไปกับพี่สาวหล่ะครับ ทำให้ลูกๆ ทุกคนเรียกแม่ว่า “อี๊” จนถึงปัจจุบันครับ เล่าซะยาวเลย ถือว่าเป็นการพักอารมณ์สักพัก ก่อนเข้าสู่โหมดเศร้าครับ)

         อี๊โทรมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แล้วบอกว่า “เม้งมาโรงพยาบาลด่วน ตอนนี้ป๊านอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาล” วินาทีนั้นผมทำอะไรไม่ถูก เหมือนโลกทั้งใบกำลังจะแตกไป สมองผมคิดว่า สิ่งที่เราได้ยินคือ เราฝันอยู่รึเปล่า มันคือความจริงใช่มั้ย แล้วก็ได้แต่ภาวนาว่า ขออย่าให้ป๊าเป็นอะไรไปเลย  ผมรีบออกจากที่ทำงาน เพื่อไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ได้พบกับแม่ เเม่เข้ามาจับมือผมไว้แน่น ด้วยมือที่เย็นเฉียบเลย  ซึ่งโมเมนต์นี้ผมไม่เคยได้เห็นจากแม่มาก่อน ปกติแม่ของผมจะเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก ลูกๆ ทุกคนจะทราบดี  แม่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “อี๊ทำธุระอยู่ข้างบนชั้นสองที่บ้าน พอลงมาก็เจอป๊านั่งคอแนบอยู่บนพนักพิง ไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี๊ตัวโปรดที่แกชอบนั่ง  เข้าไปดูก็พบว่าป๊าไม่หายใจแล้ว ตกใจทำอะไรไม่ถูก เลยวิ่งออกไปตามให้เพื่อนบ้านมาช่วยอุ้มเพื่อจะไปส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพราะตัวป๊าหนักเกินที่จะอุ้มได้เพียงคนเดียว เพื่อนบ้านช่วยกันอุ้มขึ้นรถของเขา แล้วขับรถพาไปส่งที่โรงพยาบาล ระหว่างทางอี๊พยายามจะปลุกและเรียกป๊าให้ฟื้นขึ้นมา แต่ป๊าไม่หายใจแล้ว พอมาถึงที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็รีบนำตัวป๊าเข้าห้องฉุกเฉิน ตอนนี้ป๊าอยู่ด้วยเครื่องช่วยหายใจ”

        วินาทีที่ผมได้เห็นร่างป๊าที่นอนแน่นิ่ง และหายใจเองไม่ได้แล้ว แต่หายใจได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ  ผมแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าคนที่นอนอยู่ตรงหน้าจะเป็น “ป๊า” พ่อของผม  แล้วน้ำตาผมก็ไหลออกมาโดยอัตโนมัติ และต่อเนื่องราวกับไม่เคยร้องไห้มาทั้งชีวิต  ตอนนั้นผมได้แต่ถามตัวเองในใจอยู่หลายคำถามว่า  “ใช่พ่อเราใช่มั้ย?”   “มันคือความจริงใช่มั้ย?”  “ทำไมโชคชะตาถึงกลั่นแกล้งเราและครอบครัวของเรา?”  ผมเรียกปลุกป๊าให้ฟื้น แต่ก็ไม่เป็นผล  ผมพูดกับป๊าทั้งที่ป๊าไม่ได้รับรู้แล้วว่า “ป๊าฟื้นมาก่อนนะ เม้งมีอะไรหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้ทำให้ป๊าเลยนะ”  (ด้วยความสัตย์จริงครับ ระหว่างที่ผมเขียนถึงประโยคนี้ น้ำตาผมก็ไหลพรากออกมาอีกครั้ง เมื่อได้นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น)  ป๊ายังไม่ได้เห็นหน้าและอุ้มลูกของเม้งเลยนะ  ป๊ายังไม่ได้เป็น “อากง” (ภาษาจีนของคำว่า “คุณปู่” หรือ “คุณตา”) เลยนะ  ครอบครัวเรายังไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศแบบพร้อมหน้ากันทุกคนเลยนะ ซึ่งเป็นความตั้งใจของผมและพวกเราสามพี่น้อง เป็นความฝันสูงสุดเลยก็ว่าได้ ว่าจะเก็บเงินของลูกๆ ทั้งสามคน ซึ่งทำงานมีรายได้กันหมดแล้ว พา “ป๊าและอี๊” ไปต่างประเทศด้วยกันทั้งครอบครัวสักครั้งหนึ่งของชีวิต  ตอนนี้เม้งมีหน้าที่การงานประจำที่ดีระดับหนึ่งแล้ว และมีงานเสริม เช่น เป็นวิทยากร และอาจารย์พิเศษรับเชิญ เริ่มเข้ามาบ้างแล้ว (ซึ่งงานต่างๆ เหล่านี้ เป็นผลมาจากการที่ป๊าส่งเสริมและสนับสนุนให้ลูกๆ ทุกคนรักการเรียน และมีการศึกษาที่ดี เพื่อวันข้างหน้าจะได้ใช้ปัญญาความรู้ ไว้เลี้ยงชีพไปตลอดชีวิต)  เม้งมีกำลังพอจะช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในบ้านได้มากขึ้นแล้ว ป๊าซึ่งมีหน้าที่ทำงานหาเงินเป็นหลัก ส่วนอี๊จะมีหน้าที่เป็นแม่บ้าน ดูแลทุกคนในบ้าน  ป๊าและอี๊จะได้พักผ่อนบ้างแล้ว เหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว  พวกเราลูก ๆ สามคนจะทำงานหาเงิน ไว้ดูแลและตอบแทนพระคุณของทั้งสองท่านเอง ป๊าจะได้ไม่ต้องทำงานหนักอีกแล้ว

         ป๊านอนแน่นิ่งแบบหายใจเองไม่ได้แล้ว  ต้องหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ อยู่หลายชั่วโมง              คุณหมอที่ดูแล เชิญผมและครอบครัว รวมถึงญาติๆ ทุกคนที่ไปเยี่ยมในวันนั้น โดยพูดว่า “ผมขอปรึกษาหน่อยครับ”  พอผมได้ยิน ก็เริ่มจะรับรู้ถึงความไม่ปกติแล้ว มันคงมีอะไรบางอย่างที่เริ่มจะชัดเจนว่า เหตุการณ์ที่ผมเจอตรงหน้า มันคือ “ความจริง” ที่เราต้องเผชิญและยอมรับมันให้ได้  ทั้งๆ ที่ไม่อาจจะยอมรับได้ตลอดชีวิต  คุณหมอพูดว่า “ตอนนี้คนไข้หายใจอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ หายใจเองไม่ได้แล้ว แล้วคุณหมอก็อธิบายตามหลักการว่า คนไข้มาถึงที่โรงพยาบาลช้าไปมาก คนไข้ไม่หายใจหรือเสียชีวิตแล้วตั้งแต่อยู่ที่บ้าน หรือระหว่างการเดินทางมาที่โรงพยาบาล  หมอเลยอยากจะขอปรึกษาว่า ตอนนี้เรามี 2 ทางให้เลือก คือ ให้คุณพ่ออยู่ได้ ด้วยเครื่องช่วยหายใจแบบนี้ไปเรื่อยๆ  หรือจะเอาเครื่องช่วยหายใจออก แล้วให้คนไข้ไปอย่างสงบ” ผมและครอบครัว ปรึกษากันและตัดสินใจว่า  คุณหมอพยายามอย่างเต็มความสามารถแล้ว และถ้าอยู่แบบนี้จะเป็นการทรมานร่างกายและจิตใจป๊ามากกว่า  เลยเลือกที่จะเอาเครื่องช่วยหายใจออก แล้วให้ป๊าไปอย่างสงบ

         ผมยังจำภาพเหตุการณ์ที่พวกเราในครอบครัวทุกคน รวมถึง ญาติและคนที่ไปเยี่ยมป๊าวันนั้นทุกคน ยืนล้อมป๊า ที่นอนไม่หายใจแล้ว วินาทีที่เอาเครื่องช่วยหายใจออก แล้วป๊าค่อยๆ ไปอย่างสงบนั้น เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจที่สุดในชีวิตและอยู่ในความทรงจำไปตลอดชีวิต  วินาทีนั้นน้ำตาผมก็ไหลพรากอีกครั้ง ความคิดในใจของผม คิดอยู่หลายอย่างและหลายเรื่องมาก ทั้งที่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ว่า “เสียดาย ที่ยังได้ร่ำลาป๊าเลย  ขอให้คุณความดีที่ป๊าได้ทำมาทั้งชีวิต จงช่วยส่งผลให้ป๊าไปสู่สุคติ  ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เกิดมาเป็นพ่อลูกกันอีก เพราะมีหลายสิ่งที่เรายังไม่ได้ทำเพื่อเป็นการตอบแทนป๊าเลย  ป๊าไม่ต้องห่วง ขอให้ป๊าไปสบาย ไม่ต้องมีความกังวลใดๆ นะ พวกเราลูกๆ ทั้งสามคน จะดูแลอี๊แทนป๊าเอง เพราะสงสารอี๊มากๆ ที่กำลังจะจะสูญเสียคนที่รักที่สุดในชีวิตของอี๊ ไปอีกคน ซึ่งก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่เดือน ก็ได้สูญเสียพ่อ ซึ่งผมเรียกว่า “อากง” ไป  ทำให้ตอนนั้นผมคิดไปว่า ชะตาชีวิตโหดร้ายมากเกินไปกับชิวิตของผม ครอบครัวของผม โดยเฉพาะแม่ของผมที่ได้สูญเสียคนที่รักที่สุดในชีวิตไปถึง 2 คน ในเวลาไล่เลี่ยกัน”

          ในช่วงงานศพป๊า พวกเราทุกคนในครอบครัว เสียใจกันมาก แต่ก็มีหลายอย่างให้คิดและให้ทำในการจัดงานศพให้ป๊า จนลืมความเสียใจไปบางช่วงขณะ ซึ่งพวกเราตั้งใจกันมาก เสมือนว่าได้ตอบแทนพระคุณและคุณความดีของป๊าเป็นครั้งสุดท้าย  และเพื่อเป็นการขอบคุณญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องของป๊า และผู้ร่วมงานศพของป๊าทุกท่าน ที่ตั้งใจมาแสดงความอาลัยในการจากไปของป๊า  ผมตั้งใจบรรจงแต่งข้อความเพื่อจะใช้กล่าวในวันงานฌาปนกิจศพของป๊า แต่ไม่กล้ากล่าวเอง เพราะเกรงว่าจะร้องไห้ จนพูดไม่ออก จึงให้ “อากู๋” (น้องชายของแม่) เป็นผู้เรียบเรียงข้อความของผม ให้สละสลวยขึ้น และเป็นผู้กล่าวข้อความแทนผม ต้องขอขอบคุณมากๆ ครับ  ผมกลั่นและเรียบเรียงความคิด ข้อคิดและคำสอนที่ได้จากป๊า และคุณความดีที่ป๊าได้ทำให้เห็นตลอดช่วงที่มีชีวิตอยู่ ออกมาเป็นข้อความ  ซึ่งถือเป็นงานเขียนชิ้นแรกที่ได้ออกสู่สาธารณชน มีข้อความบางส่วนดังนี้ครับ

         “…คุณสุชาติ (ชื่อจริงของป๊า) มีอาชีพทำกระดาษกงเต็ก และอาชีพนี้เอง ได้ส่งเสียลูกๆ ทั้งสามคน จนจบการศึกษาและมีอาชีพการงานที่ดี  คุณสุชาติมักจะพร่ำสอนลูกๆ อยู่เสมอว่า

“มรดกของพ่อแม่ ที่มอบให้ลูกๆ ทุกคนนั้น ไม่ใช่เงินหรือทอง แต่เป็นคุณงามความดีที่พ่อและแม่ได้สร้างและสั่งสม เพื่อมอบให้ลูกทุกคน เอาไว้เป็นแบบอย่าง และเอาไว้ใช้สอนลูกหลานสืบต่อไป คุณงามความดีของพ่อแม่ จึงเปรียบดั่งมรดกอันล้ำค่าของลูกๆ”

ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา  คุณสุชาติได้ใช้คุณธรรมนำชีวิต และได้สอนลูกๆ อยู่เสมอ และเขียนแปะติดข้างฝาบ้านว่า  “จงยึดหลัก สัจจะ คุณธรรม ความซื่อสัตย์  ถ้าคุณยอมแพ้อุปสรรค - คุณจะเป็นคนอ่อนแอ และแพ้ตลอดไป  ถ้าคุณผ่านพ้นอุปสรรคได้ - คุณคือผู้ชนะและเข้มแข็งตลอดกาล   หลักชัยอยู่ข้างหน้า - รอเราอยู่ จงก้าวต่อไป  ระยะทางพิสูจน์ม้า - กาลเวลาพิสูจน์คน”

และคุณความดีที่คุณสุชาติได้ทำไว้ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมานี้เอง จะนำพาให้คุณสุชาติไปสู่สรวงสวรรค์และสู่สุคติ”

          เหตุการณ์วันงานฌาปนกิจศพของป๊า เป็นอีกวันที่จะอยู่ในความทรงจำของผมและครอบครัวของเราไปตลอดชีวิต  วันนั้นผม พี่สาว น้องสาว และภรรยาของผม พวกเรา 4 คน ยืนต่อหน้าศพของป๊า  ด้วยบรรยากาศวันนั้น มีผู้มาร่วมงานเยอะมาก  ซึ่งทุกท่านรักป๊า และตั้งใจมาร่วมแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายในการจากไปของป๊า  และด้วยข้อความที่พูดแสดงความอาลัยที่ผมได้แต่งกับมือ  ทำให้ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่และไหลพราก ราวกับว่าจะเป็นการร้องไห้เพื่อเป็นการแสดงความอาลัยครั้งสุดท้ายของผมให้กับป๊าในการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ    ซึ่งเหตุการณ์วันนั้น ทำให้ผมเข้าใจเลยว่า “คุณงามความดีที่ป๊าได้สร้างและสั่งสมมาตลอดชีวิต ทำให้ป๊าเป็นที่รักของทุกคน และทุกคนเสียใจและเสียดายในการจากไปของป๊า”

         เหตุการณ์ที่สะเทือนใจอีกวันหนึ่ง คือ วันที่กลับมาจากงานฌาปนกิจศพของป๊า  เข้ามาในบ้านพบซองจดหมายจากสมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย แจ้งว่าบทความวิชาการของผม ได้รับการคัดเลือกตีพิมพ์ลงวารสารของสมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย พร้อมส่งเล่มวารสารฉบับดังกล่าวแนบมาด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นบทความทางวิชาการชิ้นแรกของผม ที่มีโอกาสได้ตีพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณชน  เป็นอีกครั้ง (ซึ่งรวมๆ แล้วหลายครั้งมาก) ที่ทำให้ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ผมไม่มีโอกาสได้เล่าให้ป๊าฟัง เพื่อให้ป๊าได้ภูมิใจกับลูกคนนี้ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ได้แต่เล่าให้ป๊าฟังผ่านรูปถ่ายบนหิ้งในบ้านเท่านั้นเอง

          จากวันนั้น มาถึงวันนี้ ถามว่าเราผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกแย่หรือเสียใจมากที่สุดในชีวิตนั้นมาได้อย่างไร  คงไม่มีใครกล้าตอบได้เต็มปากว่า ทำใจได้เลยตั้งแต่วันที่ป๊าเสียแล้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา  “เวลา” เท่านั้นที่จะช่วยรักษาเยียวยาแผลในใจเรา ให้ดีขึ้นและเข้มแข็งขึ้นในทุกวันที่ผ่านไป  จากเหตุการณ์วันนั้น ทำให้ผมศึกษา “ธรรมะ” มากขึ้น  เข้าใจ “ชีวิต” และเข้าใจ “สัจธรรมของชีวิต” มากขึ้น  โดยเข้าใจ “ความตาย” หรือ “ความทุกข์” มากขึ้นว่า  “ทุกข์ ทุกๆ คน… ไม่ว่าจะยากดีมีจนต้องพบเจอหมด”  เราต้องบริหารจัดการความทุกข์ให้เป็น  เรา “สูญเสีย” ได้ แต่อย่าให้เรา “เสียศูนย์”  และได้ข้อคิดไว้เตือนใจตนเองอีกว่า “เพราะเห็นทุกข์ จึงเห็นธรรม...เพราะเห็นกรรม จึงทำดี”

         “เป้าหมายของชีวิตผมเปลี่ยนไป  ทุกวันนี้ เราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อดูแลคนในครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่เบื้องหน้า ให้ดีที่สุด  และระลึกถึงคนที่จากไป ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของป๊า ซึ่งถือเป็นมรดกที่ล้ำค่า ไว้สอนลูกหลานของเราต่อไป”  ทุกวันนี้ผมและลูกๆ ทุกคน หอมแก้มแม่ทุกเช้าก่อนไปทำงาน  เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะหมดโอกาสในการทำความดีเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณแม่ หรือหมดโอกาสที่จะได้ร่ำลาแม่  เหมือนที่พวกเราไม่มีโอกาสได้ทำความดีเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณป๊า และไม่มีโอกาสได้ร่ำลาป๊าอีกต่อไปแล้ว

         “ตอนนี้ป๊าไม่ได้จากผมไปไหน  แต่ป๊าอยู่ในร่างกายและจิตใจของผม”  เพราะผมได้เป็น “ป๊า” ของลูกสาวเล็กๆ 2 คน  ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้า “อากง” อีกต่อไปแล้ว  แต่ผมจะนำ “คำสอนของป๊า” และ “คุณความดีของป๊า” ถ่ายทอดไปยังลูกและหลานของผมต่อไป  ตอนนี้ผมมีอาชีพเสริมเป็น “โค้ช” ในชื่อ “โค้ชเม้ง”  และมีความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้  โดยมีปณิธานว่า  “แม้จะไม่ใช่โค้ชที่ดีที่สุดของโลก…แต่ขอเป็นโค้ชที่ดีที่สุดของลูก”

          ทุกวันนี้ ผมมีอาชีพเสริม คือ เป็นวิทยากร และนักเขียนสมัครเล่น  โดยมีความตั้งใจว่าอยากจะทำประโยชน์ให้กับวิชาชีพ และสังคม  โดยทุกงานบรรยาย หรือทุกงานเขียนของผม  คุณความดีที่ผมได้ทำ เพื่อเป็นวิทยาทาน หรือเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ และสังคมโดยรวม  ผมจะระลึกถึงป๊า  และอุทิศผลบุญกุศลที่ได้ทำไปให้ป๊าเสมอ  ซึ่งรวมถึงงานเขียนชิ้นนี้ด้วย  (หากได้รับการตีพิมพ์ หรือได้รับโอกาสได้ออกหนังสือเป็นเล่มกับเค้าบ้างครับ)  เลยอยากจะแชร์ข้อคิดที่ได้จากเหตุการณ์นี้ รวมถึง คำสอนที่ได้จากป๊า เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ ผ่านงานเขียนของผม  เพราะผมมีความเชื่อว่า “งานเขียนเปลี่ยนโลกได้” ครับ

#โค้ชเม้ง
#18/7/62

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น